เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 4


4. ประวัติพระปฏาจาราเถรี



ในสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า วินยธรานํ ยทิทํ ปฏาจารา ท่านแสดงว่า พระ-
ปฏาจาราเถรีเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย.
ดังได้สดับมา พระเถรีนั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในครอบครัว กรุงหังสวดี ต่อมา กาลังฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงวินัย ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้น
ไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ. ถือปฏิสนธิใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิงกิ เป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งระหว่าง
พระพี่น้องนาง 7 พระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ถึง 20,000 ปี
สร้างบริเวณถวายภิกษุสงฆ์ บังเกิดในเทวโลกอีก เสวยสมบัติอยู่พุทธันดร
หนึ่งในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ต่อมา นางเจริญวัยได้ทำการลักลอบกับลูกจ้างคนหนึ่งในบ้าน
ภายหลังกำลังจะมีสามีที่มีชาติเสมอกัน จึงได้ทำการนัดหมายกับบุรุษที่
ลักลอบกันนั้นว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป เจ้าจักไม่ได้เห็นเรา แม้จะประหาร
สัก 100 ครั้ง ถ้าเจ้ายังรักเรา ก็จงพาเราไปเสียเดี๋ยวนี้. บุรุษผู้นั้น
รับคำว่า ตกลง แล้วก็ถือเอาสิ่งของมีค่าติดมือไปพอสมควร พานาง
ออกไป 3-4 โยชน์จากพระนคร อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต่อมา

ภายหลังนางตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์แก่ จึงกล่าวว่า ที่นี้ไม่สมควรแก่เรา
ฉันจะไปเรือนสกุลนะนาย. เขาก็ผัดว่า วันนี้จะไป พรุ่งนี้ค่อยไป แต่ก็
ไม่ได้ไปจนล่วงเวลาไป. นางรู้เหตุของสามีนั้น คิดว่า สามีนี้เขลาจึงไม่
พาเราไป เมื่อสามีนั้นออกไปนอกบ้าน จึงเดินไปลำพังคนเดียว ด้วย
หมายใจจะกลับไปยังครอบครัว. สามีกลับมาไม่เห็นนางในเรือน จึงถาม
คนที่คุ้นเคยกัน รู้ว่า นางกลับไปยังครอบครัว ก็คิดว่า นางเป็นธิดา
ของสกุล อาศัยแต่เราไม่มีที่พึ่งเลย จึงเดินตามรอยเท้าจนทันกัน นางก็
ตลอดบุตรเสียในระหว่างทางนั้นเอง. สองสามีภริยาปรึกษากันว่า ประ-
โยชน์ที่เราจะพึงเดินทางไป ก็สำเร็จแล้วในระหว่างทาง เดี๋ยวนี้เราจักไป
ทำไมเล่าจึงพากันกลับ . นางก็ตั้งครรภ์อีก. พึงทำเรื่องให้พิสดารตามนัย
ก่อนนั้นแล. แต่ในระหว่างทาง พอนางคลอดบุตร เมฆฝนก็ตั้งเค้ามา
ทั้ง 4 ทิศ. นางจึงกล่าวกะสามีว่า นาย ไม่ใช่เวลาแล้ว เมฆฝนตั้งเค้า
นาทั้ง 4 ทิศ จงพายามทำที่อยู่สำหรับตัวเราเถิด. สามีรับคำว่า จักทำ
เดี๋ยวนี้ เอาท่อนไม้มาทำกระท่อม คิดว่าจะหาหญ้ามามุงบัง จึงตัดหญ้า
ที่เชิงจอมปลวกใหญ่แห่งหนึ่ง. ทีนั้น งูเห่าที่นอนในจอมปลวกก็กัดเท้าเขา.
บุรุษผู้นั้น ก็ล้มลงที่นั้นนั่นเอง. แม้นางคิดว่าเดี๋ยวเขาคงมา. รอจนตลอด
ทั้งคืน ก็คิดอีกว่า เขาคงจักคิดว่า เรานี้ เป็นหญิงอนาถา พึ่งไม่ได้แล้ว
ทอดทิ้งไว้ในทางหนีไปแล้ว ครั้นเกิดแสงสว่างแวบขึ้น จงมองดูตาม
รอยเท้า เห็นสามีล้มลงที่เชิงจอมปลวก ก็คร่ำครวญว่า เพราะเรา เขา
จึงเสีย แล้วเอาลูกคนเล็กแนบข้าง เอานิ้วมือจูงลูกคนโต เดินไปตานทาง
ระหว่างทางพบแม่น้ำตื้น ๆ สายหนึ่ง คิดว่า เราไม่อาจพาลูกไปคราวเดียว
กันได้ทั้ง 2 คน จึงวางลูกคนโตไว้ฝั่งนี้ นำลูกคนเล็กไปฝั่งโน้น ให้

นอนบนเบาะเก่า ๆ ลงข้ามแม่น้ำ ด้วยหมายจะพาลูกคนนี้ไป. เวลาที่
นางถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งก็มาโฉบเด็กไปด้วยสำคัญว่า เป็นก้อน
เนื้อ. นางก็ยกมือไล่เหยี่ยว. ลูกคนโตเห็นนางทำมืออย่างนั้น สำคัญว่า
แม่เรียก ก็ลงข้ามแม่น้ำ ตกไปในกระแสน้ำ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ
เมื่อนางยังข้ามไม่ถึงนั่นเอง เหยี่ยวก็โฉบเอาลูกคนเล็กนั้นไป. นางเศร้า-
โศกเป็นกำลัง ในระหว่างทาง ก็เดินขับเพลงรำพัน ดังนี้ว่า
อุโภ ปุตฺตา กาลกตา ปนฺเถ มยฺหํ ปตี มโต.
บุตรสองคนก็ตาย สามีเราก็ตายเสียที่หนทาง.

นางรำพันอย่างนี้ จนถึงกรุงสาวัตถี ไปหาคนที่ชอบพอกันของสกุล
ก็กำหนดจำเรือนของตนไม่ได้ ด้วยอำนาจความเศร้าโศก สอบถามว่า
ที่ตรงนี้ มีสกุล ชื่ออย่างนี้ เรือนอยู่ไหนเล่า. ผู้คนทั้งหลายกล่าวว่า
เจ้าสอบถามถึงสกุลนั้นจักทำอะไร เรือนที่อยู่ของคนเหล่านั้น ล้มแล้ว
เพราะลมกระหน่ำ คนเหล่านั้นในเรือนหลังนั้น เสียชีวิตหมด เขาเผา
คนเหล่านั้นบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ดูเสียสิ กลุ่ม
ควันไฟยังปรากฏอยู่นั่น. นางฟังคำบอกเล่าแล้ว ก็พูดว่า พวกท่านพูด
อะไร ก็ทรงผ้านุ่งของตนไว้ไม่ได้ ทำนองวันเกิดนั่นแหละ ประคอง
สองแขนร่ำไห้ เดินไปสถานที่เชิงตะกอนเผาเหล่าญาติ คร่ำครวญเพลง
รำพันพิลาปจนครบคาถาว่า
อุโภ ปุตฺตา กาลกตา ปนฺเถ มยฺหํ ปตี มโต
มาตา ปิตา จ ภาตา จ เอกจิตฺตกสฺมึ ฑยฺหเร.
บุตรสองคนก็ตาย สามีเราก็ตายเสียที่หนทาง
มารดาบิดาและพี่ชาย เขาก็เผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน.

ทั้งยังฉีกผ้าที่คนอื่นให้เสียอีก. ครั้งนั้น มหาชนก็เที่ยวห้อมล้อมนาง
ในที่พบเห็นแล้ว. คนทั้งหลายจึงขนานชื่อนี้นางว่า ปฏาจารา เพราะนาง
ปฏาจารานี้ เว้นการนุ่งผ้าเที่ยวไป. อนึ่ง เพราะเหตุที่ปรากฏว่านาง
มีอาจาระที่ไม่มีความละอาย เพราะเป็นผู้เปลือยกาย ฉะนั้น คนทั้งหลาย
จึงขนานชื่อนางว่า ปฏาจารา. เพราะมีอาจาระอันตกไปแล้ว. วันหนึ่ง
เพราะศาสดากำลังทรงแสดงธรรมแก่มหาชน นางก็เข้าไปในพระวิหาร
ยืนอยู่ท้ายบริษัท พระศาสดาทรงแผ่พระเมตตาตรัสว่า น้องหญิง จงกลับ
ได้สติ น้องหญิง จงกลับได้สติเถิด. เพราะสดับพระพุทธดำรัส
หิริโอตตัปปะมีกำลังก็กลับคืนมา. นางก็นั่งลงที่พื้นตรงนั้นนั่นเอง. ชาย
คนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก็โยนผ้านุ่งไปให้. นางนุ่งผ้านั้นแล้วก็ฟังธรรม.
เพราะจริยาของนาง พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาในพระธรรมบท ดังนี้
ว่า
น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ ญาตีสุ ตาณตา.
ไม่มีบุตรจะช่วยได้ บิดาก็ไม่ได้ พวกพ้องก็ไม่ได้
เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว หมู่ญาติก็ช่วย
ไม่ได้เลย.
เอตมตฺถวสํ ญตฺวา ปณฺฑิโต สีลสํวุโต
นิพฺพานคมนํ มคฺคํ ขิปฺปเมว วิโสธเย.
บัณฑิตรู้ความจริงข้อนี้แล้ว สำรวมในศีล พึง
รีบเร่งชำระทางไปพระนิพพานทีเดียว.

จบพระคาถา นางก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ทั้งที่ยืนอยู่ จึงเข้า
ไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วทูลขอบวช. พระศาสดาทรงรับการบวช
ของนางว่า ไปสำนักภิกษุณีบวชเสีย. นางครั้นบวชแล้ว ไม่นานนัก
ก็บรรลุพระอรหัต เรียนพุทธวจนะ. ท่านเป็นผู้ช่ำชองชำนาญในวินัยปิฎก
ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา
เหล่าภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระปฏาจารา-
เถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกา ผู้ทรงวินัย
แล.
จบอรรถกถาสูตรที่ 4

อรรถกถาสูตรที่ 5


5. ประวัติพระธรรมทินนาเถรี



ในสูตรที่ 5 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ธมฺมกถิกานํท่านแสดงว่า พระธรรมทินนาเถรีเป็น
เลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกา ผู้เป็นธรรมกถึก.
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านบังเกิด
ในสถานของตนที่ต้องอาศัยเขา กรุงหังสวดี ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป
แก่ท่านพระสุชาตเถระ อัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต
บังเกิดในสวรรค์. ทุกอย่างพึงทราบ โดยอำนาจอภินิหารของพระเขมา-
เถรี ในหนหลัง. ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปุสสะ นางก็อยู่ในเรือน
ของคนทำงาน ที่ถูกแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งเป็นใหญ่ในเรื่องทาน ของ